สอบ ก.พ. 66 ได้เริ่มขึ้นมาตั้งแต่ต้นปี 2566 แล้ว โดยเมื่อวานนี้ (14 มิ.ย.) เป็นวันประกาศสนามสอบทั่วประเทศ เพื่อให้ผู้สมัครสอบเตรียมเช็กสถานที่สอบของตนเองให้พร้อม ก่อนจะถึงวันสอบจริงในวันที่ 2 ก.ค. ที่จะถึงนี้ ซึ่งเป็นการสอบ ก.พ. แบบใช้ชุดสอบกระดาษ (Paper & Pencil) เท่านั้น ส่วนการสอบแบบ e-Exam (ออนไลน์) เสร็จสิ้นไปแล้วตั้งแต่ 30 พ.ค. 66 ที่ผ่านมา
สำหรับใครที่ยังสงสัยว่าทำไมการสอบ ก.พ. ของแต่ละปี จึงเป็นฤดูกาลแห่งการสอบที่คึกคักและมีผู้คนให้ความสนใจล้นหลาม แล้วถ้าสอบผ่านจะสามารถเอาผลสอบไปยื่นสมัครงานอะไรได้บ้าง? กรุงเทพธุรกิจ ชวนหาคำตอบที่นี่
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :
- สมัครสอบ ก.พ.66 ประกาศล่าสุด! กำหนดวัน เวลา สนามสอบทั้ง 11 ศูนย์ฯ
- เช็กข้อดีการ ‘สอบ ก.พ.’ สวัสดิการ ‘ข้าราชการ’ ดียังไง?
- วิธีเตรียมสอบ ก.พ.66 เช็กสิ่งที่ใช้ในห้องสอบ และข้อห้ามที่ต้องรู้!
1. สอบ ก.พ. คืออะไร? สอบไปทำไม?
การสอบ ก.พ. อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงาน ก.พ. (OCSC) หรือสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน ซึ่งเป็นองค์การที่ดูแลด้านการบริหารทรัพยากรบุคคลในราชการพลเรือน มีหน้าที่ในการส่งเสริมการพัฒนาข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ของรัฐให้มีคุณภาพชีวิตและการทำงานที่ดี รวมถึงร่วมพัฒนาระบบการบริหารกำลังคนในราชการให้เป็นกลไกในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ของชาติอย่างมีประสิทธิภาพ
การสอบ ก.พ. จึงเป็นการสอบแข่งขัน เพื่อคัดเลือกบุคคลในระดับวุฒิการศึกษา และสาขาวิชาชีพที่แตกต่างกัน ที่มีความสนใจอาชีพราชการให้เข้ามาทำงานให้กับหน่วยงานราชการ การสอบ ก.พ. จึงเปรียบเสมือนตัวกลางระหว่าง “ผู้ที่ต้องการทำงานราชการ” กับ “หน่วยงานราชการที่อาจขาดแคลนกำลังคน” นั่นเอง
ในแต่ละปี มีผู้สนใจเข้าสมัครสอบ ก.พ. จำนวน 5 – 6 แสนคนต่อปี โดยเปิดรับสมัครที่นั่งสอบประมาณ 800,000 ที่นั่ง โดยคนไทยหลายคนอยากทำอาชีพข้าราชการ เพราะเห็นว่าสวัสดิการข้าราชการต่างๆ ตอบโจทย์ตนเองได้ แต่ทั้งนี้มีผู้สอบผ่าน ภาค ก เพียงปีละ 2-3% เท่านั้น
2. สอบ ก.พ. ผ่านแล้ว “สมัครงาน” อะไรได้บ้าง?
โดยทั่วไปการสอบ ก.พ. จะต้องสอบทั้งหมด 3 รอบคือ ภาค ก , ภาค ข, ภาค ค เมื่อสามารถสอบผ่านแล้ว ก็สามารถนำผลสอบไปใช้ในการสมัครงานในหน่วยงานราชการต่างๆ ได้หลากหลายตำแหน่ง ตัวอย่างเช่น
- นักวิเคราะห์นโยบายและแผนปฏิบัติการ
- นักทรัพยากรบุคคลปฏิบัติการ
- นักวิชาการตรวจสอบภายในปฏิบัติการ
- พยาบาลวิชาชีพปฏิบัติการ
- เภสัชกรปฏิบัติการ
- นักวิเทศสัมพันธ์ปฏิบัติการ
- นักวิชาการเงินและบัญชีปฏิบัติการ
- นักวิชาการคอมพิวเตอร์ปฏิบัติการ
ทั้งนี้ คุณสมบัติและอายุของผู้เข้าสอบ ก.พ. ที่ผู้อยากเข้าร่วมสอบต้องผ่านเกณฑ์เหล่านี้ ได้แก่
- มีอายุไม่ต่ำกว่า 18 ปี (ไม่กำหนดอายุสูงสุด)
- มีสัญชาติไทย
- ต้องเป็นผู้ที่จบการศึกษาแล้ว หรือผู้ที่กำลังศึกษาชั้นปีสุดท้ายของระดับ ปวช. ปวท. ปวส. อนุปริญญา ปริญญาตรี หรือปริญญาโท
- ผู้สมัครสอบต้องมีคุณสมบัติทั่วไปและไม่มีลักษณะต้องห้าม ตามมาตรา 36 แห่ง พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551
3. “สอบ ก.พ.” ภาค ก สอบวิชาอะไรบ้าง?
การสอบ ก.พ. ภาค ก คือ การสอบวัดความรู้ ความสามารถทั่วไป ที่มีการจัดสอบเป็นประจำในทุกปี โดยก่อนจะไปสมัครงานราชการได้นั้น ต้องสอบด่านแรกนี้ให้ผ่านก่อน จึงจะไปสอบขั้นต่อไปได้ โดย ภาค ก จะแบ่งออกเป็น 3 วิชา ได้แก่
- วิชาความสามารถในการคิดวิเคราะห์ ได้แก่ การคิดวิเคราะห์เชิงภาษา, การคิดวิเคราะห์เชิงนามธรรม และการคิดวิเคราะห์เชิงปริมาณ โดยจะเป็นข้อสอบจำนวน 50 ข้อ 100 คะแนน
- วิชาภาษาอังกฤษ วัดทักษะด้านต่าง ๆ ของภาษาอังกฤษในระดับเบื้องต้น ได้แก่ การพูด การเขียน การอ่าน และการฟังภาษาอังกฤษ ข้อสอบจำนวน 25 ข้อ 50 คะแนน
- วิชาความรู้และลักษณะการเป็นข้าราชการที่ดี ทดสอบความรู้พื้นฐานของการเป็นข้าราชการที่ดี ข้อสอบจำนวน 25 ข้อ 50 คะแนน เช่น ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน, หลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี, วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง, หน้าที่และความรับผิดในการปฏิบัติหน้าที่ราชการ
4. “สอบ ก.พ.” ภาค ข สอบอะไรบ้าง?
สำหรับการสอบภาค ข เป็นการสอบวัดความรู้ ความสามารถเฉพาะตำแหน่ง โดยผู้สมัครสอบจะต้องนำหนังสือรับรองการสอบผ่านภาค ก มายืนยันก่อน จึงจะสามารถสมัครสอบในภาค ข ได้
ส่วนเนื้อหาที่ใช้ในการสอบ คือ เน้นใช้ความรู้และความสามารถเฉพาะตำแหน่ง ผู้จัดสอบ ก.พ. ในภาคนี้จะเป็นหน่วยงานราชการต่างๆ ที่เปิดรับสมัครเป็นหน่วยๆ ไป ซึ่งการสอบภาค ข จะมีการเปิดสอบสำหรับหลายตำแหน่ง โดยตำแหน่งที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ได้แก่
- นักวิเคราะห์นโยบายและแผนปฏิบัติการ
- นักวิชาการเงินและบัญชีปฏิบัติการ
- นิติกร
- เจ้าพนักงานสาธารณสุขปฏิบัติงาน เป็นต้น
5. “สอบ ก.พ.” ภาค ค สอบอะไรบ้าง?
เมื่อผู้เข้าสอบได้สอบผ่านทั้งภาค ก. และภาค ข. แล้ว ขั้นตอนสุดท้ายของกระบวนการสอบคัดเลือก “ข้าราชการ” คือ “การสอบสัมภาษณ์” โดยจะมีผู้สัมภาษณ์จากหน่วยงานต้นสังกัดนั้นๆ มาร่วมทำการทดสอบ นอกจากนี้อาจมีการทดสอบเพิ่มเติมตามความเหมาะสม เช่น ทดสอบร่างกาย หรือทดสอบจิตวิทยา เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม การจะทำข้อสอบให้ผ่านฉลุยตั้งแต่ครั้งแรกนั้น (โดยเฉพาะภาค ก) มีคำแนะนำว่าผู้สมัครสอบควรศึกษาข้อรายละเอียดข้อสอบ เพื่อให้ทราบเนื้อหาของข้อสอบ และจำนวนข้ออย่างชัดเจน ทำให้อ่านเนื้อหาสำคัญได้อย่างตรงจุด ซึ่งจะช่วยลดเวลาในการทำข้อสอบแต่ละข้อได้
อีกทั้งควรฝึกทำข้อสอบเก่า พร้อมจับเวลาเหมือนสอบจริง เพื่อช่วยสร้างความคุ้นเคยกับข้อสอบ เมื่อลงสนามจริงจะได้ไม่ตื่นเต้น และช่วยลดความกังวลได้